<<สำคัญมาก>> การดูแลตัวเองหลังการรักษาสิวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษานั้นเห็นผลเร็วขึ้น และหยุดสิวได้ในระยะยาว
เริ่มต้นโดยการหยุดใช้สกินแคร์ที่เคยใช้ก่อน และ ใช้เวชสำอางตามคำแนะนำของคุณหมอ โดยเรียงลำดับการใช้ดังนี้ครับ

การล้างหน้าให้สะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่เป็นสิว การล้างหน้าให้สะอาด ไม่ใช่การขัดหน้าแรง ๆ และล้างบ่อย ๆ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวง่ายขึ้น แต่ให้ล้างด้วยเจล หรือ โฟมล้างหน้า สูตรอ่อนโยนสำหรับคนเป็นสิวโดยเฉพาะ (เลี่ยงการใช้เนื้อครีม หรือ เม็ดบีท) เริ่มต้นโดย
1. เปิดผิวด้วยน้ำอุ่น (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) ช่วยให้เซลล์ผิวเก่าอ่อนตัว ขยายรูขุมขนบนใบหน้า ไม่ควรใช้น้ำร้อนเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน
2. ล้างมือให้สะอาด เทผลิตภัณฑ์ล้างหน้าบนฝ่ามือ ถูให้เกิดฟอง
3. นวดวนบนใบหน้าเพื่อให้อุณหภูมิสูงตามผิว เมื่อร่างกายปล่อยความร้อนออกมา สิ่งสกปรกจะหลุดออกมา
4. ปิดผิวด้วยน้ำเย็น ล้างหน้าด้วยการตบเบา ๆ แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
สำหรับคนที่แต่งหน้า ควรเช็ดเครื่องสำอางออกด้วย Micellar ก่อนล้างหน้าเสมอนะครับ
หลังล้างหน้าควรเช็ดด้วย Toner อีกครั้งเพื่อปรับสภาพผิว และทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกอีกขั้น
วิธีปฏิบัติตัวหลังทำ Reju Peel (ผลัดเซลล์ผิว)
คนไข้ที่คุณหมอรักษาด้วยการผลัดเซลล์ผิว ด้วย รีจูพิล (Reju Peel) ภายใน 1 สัปดาห์หลังทำ อาจมีผิวลอกเป็นขุยซึ่งเป็นอาการปกติ (บางท่านผิวอาจไม่ลอกก็ไม่ได้ผิดปกตินะครับ) แนะนำให้ดูแลผิวเป็นพิเศษในช่วงนี้ ดังนี้
1. ห้ามขัด แกะ ดึง แผ่นขุยที่ลอก ควรปล่อยให้หลุดออกเองตามธรรมชาติ (ประมาณ 1-2 สัปดาห์แผ่นขุยเหล่านี้จะหลุดออกเองครับ)
2. หลีกเลี่ยงแดดจัดและความร้อนจัด รวมถึงบริเวณที่มีฝุ่น 1-2 สัปดาห์
3. ทามอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป โดยต้องไม่มีส่วนผสมของสาร Paraben, Alcohol และ Vitamin C
4. งดว่ายน้ำในช่วง 2 วันแรก และทางที่ดีควรเว้น 1-2 สัปดาห์หลังทำ
5. งดแต่งหน้า 1 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบ สิวอุดตัน แต่หากไม่มีสิวแล้ว สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
6. หากมีอาการผื่นแดง คัน รอยดำ ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที

Reju Peel ประกอบด้วยกรดหลายชนิดรวมกันในความเข้มข้นไม่สูง เพื่อลดผลข้างเคียงของกรดแต่ละตัว และมีข้อดีคือ ใช้กรดที่ผลิตจากเปลือกพืช ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป โดยไม่ทำร้ายผิว นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากพืช เช่น โคจิก (Kojic) วิตามินอี (Vitamin E) และ วิตามิน ซี (Vitamin C) ที่ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้า จุดด่างดำ รอยดำสิว จางลงได้เร็วขึ้น
ผิวหนังที่สร้างขึ้นใหม่จะนุ่มนวล ผิวดูกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอกว่าเดิม พร้อมทั้งไปกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ
สิวเป็นภาวะเรื้อรัง ไม่หายขาด
ตราบใดที่ยังไม่หยุดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิว ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้น ลองปรับพฤติกรรมเหล่านี้ควบคู่ไปกับการรักษาในคลินิก จะช่วยลดสิวได้ระยะยาว และไม่รุนแรงเหมือนเดิม หลายท่านที่ทำได้ก็ทำให้สิวหายไปนานเลยครับ
