
September 19, 2021
ระวัง!! ฉีดโบท็อกซ์แล้วจะดื้อโบ
Posted by theprimaclinic
in ศาสตร์ชะลอวัย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า
ปัจจุบันการฉีดโบท็อกซ์เพื่อช่วยลดริ้วรอย หรือปรับรูปหน้าให้เรียวสวย เป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงในไทย เพราะผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้นว่า ได้ผลและปลอดภัย ประกอบกับการแข่งขันของสถานพยาบาลต่าง ๆ ทำให้ราคาถูกลงเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต
แต่ใครที่ชอบตามล่าโปรโมชั่นโบท็อกซ์ ที่เคลมว่า “ฉีดโบท็อกซ์ไม่จำกัดยูนิต” “ไม่ลงย้ำฟรี” “โบท็อกซ์เหมาบุฟเฟต์ ” รู้หรือไม่ว่า ท่านกำลังตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยง “ดื้อยา” หรือ “ดื้อโบ” ได้ !!! ทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า “BOTULINUM TOXIN RESISTANCE” ครับ
สรรสาระโดย นพ.วรุตม์ คุณาฤทธิพล (หมอช้อป)
– ปริญญาโท ตจวิทยา (ผิวหนัง)
– Dermatology Clinical Observership,
Jutendo University Hospital , Tokyo
– Fellowship in Anti-Aging Medicine
ภาวะดื้อโบ เป็นภาวะที่ร่างกายของเราสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibody) ออกมาทำลายยาโบท็อกซ์ เพราะถูกมองว่าเป็นสารแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย ทำให้ตัวยาถูกทำลายและไม่ออกฤทธิ์
ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ฉีดโบ เป็นภาวะที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการฉีดโบท็อกซ์เลย หรือ ตอบสนองลดลงมาก ปัญหาที่ตามมาคือ ทำให้ไม่เห็นผลในการลดริ้วรอย ลดกราม หรือยกกระชับหน้า ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย อาจจะไม่เห็นผลเลย เสียเงินเสียเวลาเปล่า
โบทูลินุ่มท๊อกซิน หรือ โบท็อกซ์ ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
เนื้อยา (ส่วนที่เราต้องการให้ออกฤทิ์) = เรียกส่วนนี้ว่า “Pure Protein หรือ Core Protein” >>> ยิ่งเยอะ ยิ่งออกฤทธิ์ดีครับ
น้ำ/สิ่งเจือปน (ส่วนที่เราไม่ต้องการ) = เรียกส่วนนี้ว่า “Complexing Protein หรือ Antigen Protein” >>> ยิ่งเยอะ ยิ่งไม่ดีครับ ซึ่งตัวนี้แหละครับ จะเป็นผู้ร้ายทำให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นกันขึ้นมาทำลาย และเกิดภาวะดื้อโบตามมาได้
โบท็อกซ์แต่ละชนิด(หรือแบรนด์) ต่างกันที่ complexing protein โดยจะมีส่วนประกอบของ complexing protein ที่รูปร่างและน้ำหนักแตกต่างกันออกไป ดังนั้น ร่างกายก็จะจดจำแตกต่างกัน ( ยกตัวอย่างเหมือนคนเดียวกันใส่เสื้อผ้าแต่งตัวคนละสไตล์ ทำให้บางทีคนที่มองเห็นก็อาจจะจำไม่ได้หรือเห็นแตกต่างออกไปจากเดิม )
ในกระบวนการผลิตที่นำมาซึ่ง โบท็อกซ์นั้น เกิดจากการผลิต toxin ออกมาด้วย bacteria ที่ชื่อว่า Clostridium Botulinum ซึ่งผลผลิตที่ได้ออกมานั้นจะมี complexing protein เกาะอยู่กับ core neurotoxin และ มีโปรตีนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของ bacteria ผสมอยู่ แล้วค่อยนำโปรตีน หรือ สิ่งแปลกปลอมที่ไม่ต้องการออกในขั้นตอนต่อ ๆ ไป
นอกจากนี้ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ต้องมีการทำงานวิจัยใหม่ทั้งหมด เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยและต้องขึ้นทะเบียนยาใหม่ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้ระยะเวลายาวนาน ดังนั้นการที่บริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เช่นนำ complexing protein ออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในเวลาอันรวดเร็วครับ
สรุปคือ เพราะไม่สามารถเลี่ยงโปรตีนในการผลิตได้ ขณะที่การสกัดออกนั้นยาก ใช้เวลาและใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นมากนั่นเองครับ
เนื่องจากกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อ complexing protein (น้ำ=ส่วนที่เราไม่ต้องการ) ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิดของโบท็อกซ์ครับ
ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ยาของโบท็อกซ์น้อยลง เช่น จากเดิม 6 เดือน เหลือ 3 เดือนและลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดการฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ (เช่น ริ้วรอยไม่หาย ขนาดกรามไม่ลดลง)
อาจจะต้องใช้ยาในปริมาณที่มากขึ้น (เช่นเดิมใช้ 50 ยูนิต แต่ต้องเพิ่มเป็น 100 ยูนิตถึงจะเห็นผลเท่าเดิม) ทำให้เสียเงินเพิ่มขึ้น
การรักษาโรคบางโรคที่จำเป็นต้องใช้โบท็อกซ์ชนิดนี้ก็จะไม่สามารถรักษาได้ เช่น โรคกล้ามเนื้อเกร็งกระตุก
สังเกตอาการตัวเองหลังฉีดโบ เช่น ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ยาของโบท็อกซ์น้อยลง เช่น จากเดิม 6 เดือน เหลือ 3 เดือนและลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดการฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ผลอีกต่อไป หรืออาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ (เช่น ริ้วรอยไม่หาย ขนาดกรามไม่ลดลง)
หมายเหตุ ควรระวังยาปลอมหรือตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน (เช่น ยาหิ้ว ยาปลอม ยาที่ไม่มีอย. มักพบกรณีที่ราคายาถูกมากจนผิดสังเกต ไม่ยอมโชว์ตัวยาก่อนฉีด ไม่ให้ดูกล่องยาหรือตรวจสอบเลข อย.ก่อนฉีดจริง) มักมีสารปนเปื้อนสูง ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผล ควรนึกถึงสาเหตุนี้ก่อนภาวะดื้อโบครับ
แต้ถ้ามั่นใจแล้วว่าเป็นยาแท้และปริมาณที่ฉีดถูกต้อง ก็ให้ดูวิธีต่อไปกันครับ
สามารถทำการทดสอบได้โดยให้แพทย์ฉีดหน้าผากหรือจุดที่มีริ้วรอยเพียงฝั่งเดียว และรอดูผลลัพธ์หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ หากริ้วรอยไม่หายไปแสดงว่ามีภาวะดื้อโบท็อกซ์ (Frontalis test)
ส่งผลเลือดตรวจซึ่งมี 2 Test คือ
Test 1 สำหรับตรวจดูว่าคนไข้มีความเสี่ยงดื้อโบทูลินุ่มท๊อกซินไหม
Test 2 สำหรับตรวจคนไข้ที่ดื้อนั้นว่ายังสามารถตอบสนองต่อ Pure toxin ได้หรือไม่ โดยตรวจหาภูมิคุ้นกัน (Antibody) ต่อ complexing protein ในเลือดคนไข้
ขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก