ทำความรู้จัก Radiesse (เรเดียส) หรือ Regenerative Biostimulator สารฉีดสร้างเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ ที่จะช่วยให้ผิวเฟิร์ม เด้งฟู ดูอ่อนเยาว์ ยาวนานถึง 2 ปี
บทความโดย นพ. วรุตม์ คุณาฤทธิพล (หมอช้อป)
– ปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) สำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
-Dermatology Clinical Observership, Jutendo University Hospital , Tokyo
– Fellowship วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
– Board Certified American Board of Anti-Aging and Regenerative Medicine
สารบัญเนื้อหา
Radiesse (เรเดียส) คืออะไร และ สำคัญอย่างไร ?
เมื่อเราอายุมากขึ้น สัญญาณแห่งวัยจะปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โครงสร้างผิวหนังโดยเฉพาะชั้นหนังแท้เริ่มสูญเสียองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนต่อความสมบูรณ์ของชั้นผิวหนัง อันได้แก่ คอลลาเจน type 1 & 3, อีลาสติน , สารน้ำหล่อเลี้ยงผิว รวมทั้งสารอาหารที่หล่อเลี้ยงผิว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรง ความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวหนัง
เมื่อโครงสร้างค้ำยันผิวไม่แข็งแรง ผิวจึงเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อย ทำให้ดูมีอายุ ดังนั้นถ้าอยากให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูองค์ประกอบสำคัญของชั้นผิวหนังที่ลดลงไปตามธรรมชาติให้มีมากขึ้นนั้นเอง
ในแวดวงการแพทย์ความงามได้มีการคิดค้นและวิจัยเพื่อการชะลอความเสื่อมของผิวมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนได้ค้นพบกับ Regenerative Biostimulator หรือ สารฉีดกระตุ้นการสร้างเส้นใยผิวใหม่แบบครบถ้วน 5 ประการ เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์คือ CaHA microsphere (คา-ฮ่า ไมโครสเฟียร์) ที่มีรูปร่างและขนาดที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ มีลักษณะเป็นทรงกลม ขนาดอนุภาคสม่ำเสมอกันอยู่ในช่วง 25-45 ไมครอน ส่งผลให้ฟื้นฟูการทำงานของ Fibroblast ทำให้มีการกระตุ้นสร้างสารสำคัญทั้ง 5 ตัวทีมีส่วนช่วยให้ผิวสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ ได้ยาวนาน
Radiesse (เรเดียส) มีหลักการทำงานอย่างไร ?
Regenerative Biostimulator เป็นสารฉีดบริเวณผิวหนังที่ไม่ใช่กรดไฮยาลูโรนิก ปริมาตร 1.5 ซีซี มีส่วนประกอบหลักของ CaHA (Calcium Hydroxylapatite -แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) ที่สังเคราะห์ขึ้นกระจายตัวอยู่ในเจล มีส่วนประกอบของน้ำ (น้ำกลั่นสำหรับยาฉีด USP), กลีเซอริน (USP), Sodium Carboxymethylcellulose (โซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส) (USP) โดยเจลจะถูกปลดปล่อยในชั้นผิวและจะถูกเนื้อเยื่ออ่อนเจริญแทนที่ ในขณะที่ CaHA จะยังคงอยู่ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือการฟื้นฟูสภาพผิวและการเติมเต็มเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของผิวหนังแบบระยะยาวที่กึ่งถาวร
ส่งผลให้กระตุ้นการสร้าง “เส้นใยตาข่ายผิว” ครบทั้ง 5 ประการ ที่มีส่วนสำคัญต่อผิวสุขภาพดี ได้แก่
- +150% Collagen Type I 1,2 ผิวเฟิร์มกระชับ
- +130% Collage Type III 1,2 ผิวเต่งตึง แข็งแรง
- +260+ Elastin 1,2,3 ติดสปริงผิว ยืดหยุ่น นุ่มเด้ง
- Proteoglycan 2,4,5 สารน้ำหล่อเลี้ยงผิว ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ฟู ฉ่ำ
- Angiogenesis 1,3 สารอาหารหล่อเลี้ยงผิว ช่วยให้ผิวสุขภาพดี อมชมพู
Radiesse (เรเดียส) เหมาะกับใคร ?
- ท่านที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป
- ผิวเริ่มสูญเสียคอลลาเจน อีลาสติน สุขภาพผิวไม่ดี ขาดการบำรุง
- ใบหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น หมองคล้ำ
- มีร่องลึกต่างๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอยย่นรอบปาก ขมับตอบ
- ต้องการแก้ปัญหาเรื่องความเหี่ยวย่นบริเวณข้างแก้ม รอบปาก หลังมือ ลำคอ เนินอกสำหรับผู้หญิง
- ต้องการผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องทำบ่อย ผลลัพธ์นานถึง 2 ปี
Radiesse (เรเดียส) ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?
- ร่องแก้ม
- ร่องน้ำหมาก
- หน้าแก้ม
- กรอบหน้า : ช่วยทำให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น ช่วยให้หน้ายกกระชับขึ้น
- ขมับ : ช่วยแก้ปัญหาขมับตอบ ที่ทำให้ดูมีอายุ เสียโหงวเฮ้ง
- หลังมือ : มือเป็นอีกตำแหน่งที่ทำให้ดูมีอายุ จากการสูญเสียไขมัน ทำให้เห็นเส้นเอ็นและเส้นเลือดชัดเจน การฉีด Regenerative Biostimulator ก็จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติครับ
- เนินอก: เพื่อแก้ปัญหาผิวย่นบริเวณเนินอก ทำให้คุณผู้หญิงสามารถใส่เสื้อโชว์เนินอกได้อย่างมั่นใจ
บริเวณใดบ้าง ที่ไม่ควรฉีด Radiesse (เรเดียส) ?
- ร่องระหว่างคิ้ว ควรใช้สารโบทูลินั่มท๊อกซิน ฉีดเพื่อแก้ปัญหาทดแทน
- จมูก
- ปาก ควรใช้สารเติมเต็มแก้ปัญหาแทน
- รอบดวงตา ควรใช้สารเต็มเติมแก้ปัญหาแทน
Radiesse (เรเดียส) ไม่เหมาะกับใคร ?
- มีประวัติการใช้ยากลุ่ม NSAID ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ corticosteriods มานาน
- มีปัญหาสุขภาพจิต
- มีโรคทางระบบประสาทสัมผัสในการรับรู้ที่ไม่ดีนัก
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ ให้นมบุตรอยู่
- คนไข้โรคเบาหวาน โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเริม หรือ โรคลมชัก
- มีประวิติแพ้ยาชา Lidocaine
- มีประวิติเคยแพ้สารบางชนิดอย่างรุนแรง (Anaphylaxis) มาก่อน เช่น เคยมีผื่นลมพิษ แน่นหร้าอก ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
- มีการอักเสบที่ผิวหนัง เช่น ผิวหนังที่มีผื่นขึ้น ถุงซีสต์ สิว ผื่น หรือลมพิษ การติดเชื้อ หรือเนื้องอกในบริเวณใกล้เคียงจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้
- ผู้ที่เคยเกิดหรือไวต่อการเกิดคีลอยด์หรือแผลเป็นนูน
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือผู้ที่มีการใช้สารที่ส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเกิดอาการฟกช้ำ ห้อเลือด หรือมีเลือดออกเฉพาะที่ได้
- ผู้ที่ใจร้อน ต้องการเห็นผลการรักษาทันที เนื่องจากการฉีด Radiesse (เรเดียส) ต้องใช้เวลาให้ร่างกายค่อย ๆ กระตุ้นคอลลาเจน
Radiesse (เรเดียส) อันตรายหรือไม่ ?
สาร CaHA ซึ่งเป็นสารประกอบหลักใน Regenerative Biostimulator มีการใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 25 ปี และเป็นสารที่พบได้ในร่างกายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม ดังนั้น synthetic CaHA จึงมีความปลอดภัยสูง เข้ากันได้กับร่างกาย และสามารถสลายไปตามธรรมชาติด้วยระบบ normal homeostatic mechanisms ของร่างกายตามปกติ ได้เป็น calcium และ Phosphate ion
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐานและความปลอดภัยจากหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย
- 2004 ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของกลุ่มประเทศยุโรป
- 2006 ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา
- 2023 ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย
- มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 245 ฉบับ
วิธีเตรียมตัวก่อนฉีด Radiesse (เรเดียส)
- งดฉีดหรือทำหัตถการอื่นบนใบหน้า (หรือบริเวณที่ต้องการฉีด) ก่อนมาฉีด ประมาณ 2-4 สัปดาห์
- ควรดูแลสุขภาพให้พร้อมสมบูรณ์ด้วยการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดสูบบุหรี่
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนฉีด
- งดทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน หรือ วิตามินที่อาจทำให้เลือดออกได้ง่าย เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากใบแปะก๊วย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ ก่อนทำการรักษาเพราะอาจทำให้เกิดการช้ำได้
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เนื่องจากจะช่วยเอื้อต่อการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ใหม่เป็นไปได้ด้วยดี
ฉีด Radiesse (เรเดียส) ใช้เวลานานเท่าใด ?
ใช้เวลาการรักษานานประมาณ 1-2 ชั่วโมงครับ
ความรู้สึกขณะฉีด Radiesse (เรเดียส) เป็นอย่างไร เจ็บหรือไม่ ?
ขณะทำการรักษาความรู้สึกจะแสบ หน่วงเล็กน้อยขณะฉีดตัวยา แต่สามารถทนได้ครับ ซึ่งเราจะมีการใช้ยาชาเพื่อเพิ่มความสบาย ลดความรู้สึกเจ็บได้ดีครับ
หลังฉีด Radiesse (เรเดียส) จะเป็นอย่างไร ?
หลังทำทันทีจะมีอาการแดง บวม ช้ำ เล็กน้อย ประมาณ 3-5 วันแรก อาการเหล่านี้จะหายกลับมาปกติได้เองครับ
ควรใช้ Radiesse (เรเดียส) ปริมาณยาขนาดเท่าไหร่ (ฉีดกี่กล่อง) ห่างนานขนาดไหน ?
ปริมาณและระยะห่างที่แนะนำคือ
- เพื่อผลลัพธ์ที่ดี โดยเฉลี่ยใช้ 2 กล่อง/ครั้ง
- แต่ละครั้งควรห่างกัน 4-6 สัปดาห์
- ฉีดต่อเนื่อง 1-3 ครั้ง (ขึ้นกับปัญหาผิว ความหย่อนคล้อย และ ความเสียหายของคอลลาเจน)
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว และความต้องการของคนไข้ ก่อนทำหมอจะมีการประเมินก่อนทุกเคส ว่าควรใช้ปริมาณายาที่จะใช้กี่กล่องต่อครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และจำเป็นต้องกลับมาติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองการกระตุ้นคอลลาเจนของร่างกายครับ
วิธีปฏิบัติตัวหลังฉีด Radiesse (เรเดียส)
24 ชั่วโมงหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการจับ ลูบคลำในบริเวณที่ผิวหนังเปิด จนกว่าผิวหนังจะปิดสนิทดี หากรู้สึกว่ามีก้อนใต้ผิวหนังที่ฉีด สามารถนวดบริเวณที่เป็นก้อนเพื่อช่วยลดอาการได้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาและครีมบำรุงภายใน 12 ชั่วโมงแรก
1 สัปดาห์หลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่จะทำให้เหงื่อออกเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงนอนคล่ำหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและช้ำได้ตามที่ต้องการ
2 สัปดาห์หลังฉีด
หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยความร้อน เช่น ซาวน่า และการสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน
1 เดือนหลังฉีด
พบแพทย์เพื่อประเมินผลการรักษา และ อาจมีการฉีดเพิ่มในกรณีที่จำเป็น
**หลังฉีด คนไข้อาจเพิ่มการรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยเรื่องของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น โปรตีน วิตามินซี คอลลาเจนเปปไทด์ เพื่อช่วยเสริมการทำงานของ Regenerative Biostimulator
ฉีด Radiesse (เรเดียส) แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ระยะเวลาในการเห็นผล และเห็นผลทันทีเลยหรือไม่ ?
– ช่วงแรก : เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีจากตัวปริมาตรจากสารอุ้มน้ำครับ
– ผลที่เราต้องการกระตุ้นคอลลาเจนจะเริ่มที่ประมาณหลังฉีด 1 เดือนเป็นต้นไป : เริ่มเห็นผลหลังทำการรักษาประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังฉีด และจะค่อยๆเห็นผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องไปยาวนานถึง ประมาณ 2 ปี –> ควรฉีดตามปริมาณที่แนะนำ
– ประมาณ 3-6 เดือนหลังฉีด : ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนจะชัดเจนที่สุด (Optimal effect) ครับ
-เพื่อผลการรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ทำอย่างน้อย ปีละ 2-3 ครั้ง
ทำไมการฉีด Radiesse (เรเดียส) จึงเห็นผลค่อนข้างช้า ?
ถ้าหากเปรียบเทียบกับการทำศัลยกรรมซึ่งเป็นแบบ Invasive คือ ขั้นตอนทางการแพทย์ที่ต้องผ่า ใส่เครื่องมือเข้าสู่ร่างกาย แน่นอนการทำศัลยกรรมจะเห็นผลที่ค่อนข้างชัดเจน แต่หลังจากการศัลยกรรมผลที่ตามมาคือต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น การดูแลรักษาแผลที่ผ่าตัด ถ้าดูแลไม่ดีทำให้มีการติดเชื้อ และ มีแผลเป็นได้ครับ
แต่ในส่วนของการทำ Regenerative Biostimulator ซึ่งเป็นอนุภาคของสาร CaHa เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว จะกระตุ้นให้มีการผลิตคอลลาเจนธรรมชาติของตัวเองเพิ่มมากขึ้น ผลการรักษาจะเป็นไปตามระบบกลไกของร่างกายซึ่งใช้เวลาตามลำดับหลายเดือนครับ
รีวิว ผลลัพธ์หลังฉีด Radiesse (เรเดียส)
Radiesse (เรเดียส) ของแท้ดูอย่างไร ?
สิ่งสำคัญในการฉีดเรเดียส คือ ควรเลือกฉีดในคลินิกที่ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบของแท้ได้ก่อนฉีด และฉีดกับแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมจากบริษัทเมิร์ซ เอสเธติกส์ (ประเทศไทย) ผู้ถือลิขสิทธิ์เรเดียส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคุ้มค่าสูงสุดครับ
หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับการฉีดเรเดียสหรือไม่ ก็สามารถนัดคิวเข้ามาปรึกษาก่อนตัดสินใจได้ที่ Line Official @theprimaclinic (มี @ ข้างหน้า) หรือ คลิกที่ปุ่มสีเขียวด้านล่างนี้ครับ
Reference
- Yutskovskaya Y et al.,J Drugs Dermatol. 2020;19(4):405-411.
- Yutskovskaya Y et al., J. Drugs Dermatol. 2017;16(1):68-734.
- González, N. & Goldberg, DJ. Dermatol Surg 2019;45(4):547-551.
- Yutskovskaya Y et al., J Drugs Dermatol. 2014;13(9):1047-1052.
- Shalak OV et al., Bulletin of the North-Western State Medical Univ. 2022;14:43-52.
- Yutskovskaya Y et al., J. Drugs Dermatol. 2017;16(1):68-734.
- de Almeida AT et al, Plast Reconstr Surg Glob Open. 2019;7(3):e2160.
- Bass LS et al,. Aesthet Surg J. 2010;30(2):235-238.
- Pavicic T. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2015;8:19-25.
สาระความงามที่เกี่ยวข้อง